วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อธิบายโค๊ด

<?php
$sql ="select * from student order by id asc ";
อธิบาย กำหนดตัวแปร sql ให้เลือกทั้งหมดจากตาราง student โดยเรียงจากน้อยไปหามาก


$query=mysql_query($sql) or die(mysql_error());
ประมวลผลคำสั่งโดยใส่ or die เพื่อตรวจว่าเขียนtextถูกหรือไม่


$num=mysql_num_rows($query);
อธิบาย แสดงจำนวน record จากตาราง studen โดยคืนค่าเป็นตัวเลข


echo $num;อธิบาย แสดงการประมวลผลเป็นตัวเลข

PHP

<body>
<?php
$score=79;
if($score<49){
echo 'grade 0';
}else if($score<54){
echo'grade 1';
}else if($score<59){
echo'grade 1.5';
}else if($score<64){
echo'grade 2';
}else if($score<69){
echo'grade 2.5';
}else if($score<74){
echo'grade 3';
}else if($score<79){
echo'grade 3.5';
}else{echo 'grade4';}
?>
</body>
</html>

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ลมยางไนโตรเจน

เติมลมยางไนโตรเจน

” ปัจจุบันการเติมลมยางไนโตรเจน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม เพราะมีข้อดีหลายอย่าง ในระยะเริ่มต้น มีเติมเฉพาะยางล้อเครื่องบิน และ รถแข่งเท่านั้นครับ “


ข้อดีของการเติมลมยางด้วยไนโตรเจนมีดังนี้ครับ

1.ช่วยประหยัดน้ำมัน จากการพิสูจน์ในอเมริกา รถที่เติมลมด้วยไนโตรเจน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจะลดลง โดยจำนวนระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 แกลอน จะสูงขึ้น 1 ถึง 1.5 ไมล์ เหตุผล ด้วยอุณหภูมิของล้อที่ลดลง เมื่อใช้ลมยางไนโตรเจน จะช่วยลดแรงเสียดทานในการหมุนของยาง จึงช่วยประหยัดน้ำมัน

2. ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทำให้อุบิตเหตุที่มีสาเหตุจากยางลดลง เหตุผล เพราะไนโตรเจนจะช่วยรักษาอุณหภูมิของยางอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ความดันภายในลมยางขายตัวได้น้อย จึงช่วยรถอุบัติเหตุจากการระเบิดของยางที่เกิดจากความร้อน

3. ไม่ต้องตรวจเช็คลมยางบ่อย อันนี้คงเหมาะกับสุภาพสตรีทั้งหลายที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการดูแลรักษารถ เหตุผล เพราะไนโตรเจนมีอะตอมขนาดใหญ่กว่า ออกซิเจนมาก ทำให้ซึมเข้าออกเนื้อยางได้ยากกว่าออกซิเจน ดังนั้นลมยางจึงไม่ค่อยลดลง

4. ช่วยยืดอายุยาง มีผลมากกับยางที่ใช้น้อยแต่ใช้มาเป็นเวลานานๆ เหตุผล เพราะการเติมลมยางปกติ ที่มีออกซิเจนผสมอยู่มากจะเข้าไปทำปฎิกิริยากับเคมีในเนื้อยาง ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าไนโตรเจน นอกจากนี้การที่อุณหภูมิร้อนน้อยกว่าทำให้ยากสึกหรอน้อยกว่าอีกด้วย

เรื่องของลม

คุณรู้มั้ยว่าควรเติมลมยางเท่าไหร่
ข้อควรปฏิบัติ
ควรตรวจเช็กลมยาง และปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด หรือตามคำแนะนำ ในหนังสือคู่มือของรถยนต์เป็นประจำ ในกรณีของยางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยาง ให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้ จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลงจากปกติได้


ห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นขณะกำลังใช้งาน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น เมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยางก็จะกลับสู่สภาวะปกติเพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลาสำหรับยางอะไหล่ ให้ตรวจเช็กลมยางให้ถูกต้องทุกๆ เดือน

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

NGV Gas

ก๊าซเอ็นจีวีคืออะไร
 

         ก๊าซเอ็นจีวี (Natural Gas for Vehicle: NGV) มีภาษาเชิงวิชาการว่า ก๊าซซีเอ็นจี (Compressed Natural Gas: CNG)  คือ ก๊าซธรรมชาติที่มี "มีเทน" เป็นส่วนประกอบหลักและถูกอัดจนมีความดันสูง ซึ่งในบางประเทศเรียกว่า "ก๊าซธรรมชาติอัด" (ซีเอ็นจี) ซึ่งถูกอัดที่แรงดัน 200 bar หรือ 3,000 psi และถูกกักเก็บไว้ในถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษให้สามารถรองรับแรงดันได้ โดยมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ



 คุณสมบัติของก๊าซเอ็นจีวี

         1. อุณหภูมิติดไฟของก๊าซเอ็นจีวีนั้นสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ติดไปยาก ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้เมื่อก๊าซรั่วหรืออุบัติเหตุ

         2. ก๊าซเอ็นจีวี ถูกจัดเก็บอยู่ในรูปไอ ซึ่งมีแรงดันสูง จึงทำให้ไม่มีอากาศเข้าไปผสม จึงไม่ก่อให้เกิดการผสมกันระหว่างก๊าซ จึงลดโอกาสในการติดไฟและระเบิดได้

         3. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด และไม่ก่อให้เกิดการสกปรกของน้ำมันเครื่อง จึงสามารถยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องได้

         4. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้

         5. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ส่งผลเสียต่อลูกสูบและกระบอกสูบ ทำให้เกิดการหล่อลื่นที่มีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น

         6. ก๊าซเอ็นจีวี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น

         7. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงช่วยลดมวลไอเสีย และส่งผลต่อการลดมลพิษในอากาศโดยตรง

         8. มีสัดส่วนของคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นและมีคุณสมบัติเป็นก๊าซ ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น

         9. เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดควันดำหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน จึงสามารถลดปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

         10. เป็นเชื้อเพลิงที่สามารถผลิตได้ในประเทศ จึงมีราคาถูกกว่าน้ำมัน และสามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการลดการนำเข้าน้ำมันดิบ 

         11. เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เพราะมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ดังนั้นเมื่อเกิดรั่วไหล ก๊าซเอ็นจีวีจะไม่สะสมอยู่บนพื้นดินจนเกิดการลุกไหม้เหมือนเชื้อเพลิงอื่นๆ และอุณหภูมิที่จะทำให้ก๊าซเอ็นจีวีสามารถลุกติดไฟในอากาศเองได้ก็ต้องสูงถึง 650 องศาเซลเซียส 

         อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้อด้อยนั้นรถยนต์ที่จะใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้ต้องเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งานก๊าซเอ็นจีวีโดยเฉพาะ หรือไม่ก็ต้องเป็น "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" หรือ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" ที่ผ่านการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่ทำให้เครื่องยนต์ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซเอ็นจีวี

         ปัจจุบันอุปกรณ์สำหรับการดัดแปลงเครื่องยนต์ดังกล่าวต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" (ดีเซล-เอ็นจีวี) มีราคาสูงถึง 400,000-500,000 บาท และอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" (เบนซิน-เอ็นจีวี) มีราคา 30,000-50,000 บาท นอกจากนี้ รถเอ็นจีวีจะมีกำลัง "ต่ำ" กว่ารถทั่วไปตามท้องตลาด แต่ถ้าวิ่งในเมืองปัญหาข้อนี้จะไม่มีผลกระทบมากนัก

         รู้จักก๊าซธรรมชาติทั้งสองชนิดกันแล้ว ทีนี้เราจะมาเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของก๊าซทั้งสองชนิดให้เห็นกันแบบชัดๆ เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจค่ะ...

 จุดเด่นของแอลพีจี

         1. ค่าติดตั้งถูกกว่า ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ถ้าเป็นระบบดูดก๊าซ(Mixer) มีค่าใช้จ่าย 15,000-28,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ(Injection) มีค่าใช้จ่ายราวๆ 35,000-43,000 บาท

         2. มีความจุก๊าซมากกว่า กล่าวคือ ถังก๊าซที่มีขนาดเท่ากัน แต่แอลพีจีสามารถบรรจุปริมาณก๊าซได้มากกว่า

         3. มีสถานีบริการ จำนวนแพร่หลายมากกว่า

 ข้อด้อยแอลพีจี   

         1.  เป็นก๊าซที่ติดไฟง่ายกว่าเอ็นจีวี มีราคาสูงกว่า 

         2. ภาครัฐมีแผนที่จะปล่อยราคาก๊าซให้ลอยตัวเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ก๊าซแอลพีจี มีราคาสูงขึ้นอีกในอนาคต

 จุดเด่นของก๊าซเอ็นจีวี

         1. ภาครัฐให้การสนับสนุน มีนโยบายในเรื่องของการกำหนดราคา ทำให้ราคาอยู่ในการควบคุม

         2. มีรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี ประกอบจากโรงงานโดยตรง

         3. ปลอดภัยกว่า ทั้งในแง่คุณสมบัติของมันเองที่เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหล ก็จะฟุ้งกระจายไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว และอู่ที่รับติดตั้งเอ็นจีวี ผ่านการรับรองจาก ปตท.

 ข้อด้อยก๊าซเอ็นจีวี  

         1. เรื่องสถานีบริการมีจำนวนน้อย โดยขณะนี้มีสถานีบริการเอ็นจีวีที่เปิดให้บริการแล้วจำนวน 176 แห่ง และกำลังจะเปิดอีก 59 แห่งในปีนี้


         2. ค่าติดตั้งค่อนข้างสูง โดยระบบดูดก๊าซจะมีค่าใช้จ่าย 38,000-43,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ เป็นระบบที่มีอีซียู ควบคุมกรจ่ายก๊าซตามลำดับการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 58,000-63,000 บาท  

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

LPG Gas

ก๊าซแอลพีจี(Liquefied Petroleum Gas: LPG) หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว คือ พลังงานธรรมชาติประเภทหนึ่งที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันในนาม "ก๊าซหุงต้ม" เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เบากว่าน้ำแต่หนักกว่าอากาศจึงลอยอยู่ในระดับต่ำ มีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น เมื่อมีการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัย หากเกิดการรั่วไหลขึ้น 

         ในบ้านเราก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ได้มาจากการกลั่นน้ำมันและบ่อก๊าซธรรมชาติ ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน(ปตท. ยังมีเหลือจัดส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วยนะ) ก๊าซหุงต้มมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้ก็คือ เป็นก๊าซที่มีค่าอ็อกเทนสูงโดยธรรมชาติ มีสองสถานะคือ มีสภาพเป็นก๊าซและเป็นของเหลว ซึ่งก๊าซแอลพีจีจะถูกบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังภายใต้แรงดันสูง (แต่ยังต่ำกว่า เอ็นจีวี) เพื่อให้ขนถ่ายง่าย เมื่อนำไปใช้งานจะกลายสภาพเป็นไอ 

         นอกจากจะนิยมใช้แอลพีจีในครัวเรือนแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำก๊าซแอลพีจีมาใช้แทนน้ำมันเบนซิน ในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่าและมีค่าออกเทนสูงถึง 105 ทำให้เมื่อนำมาใช้กับรถยนต์แล้ว มีประสิทธิภาพสูง สมรรถนะทัดเทียมกับรถที่ใช้ระบบน้ำมันเดิม จนผู้ขับขี่ไม่มีความรู้สึกแตกต่างระหว่างการใช้น้ำมันหรือก๊าซแอลพีจี

 คุณสมบัติของก๊าซแอลพีจี

         1. ก๊าซแอลพีจี อยู่ในรูปของเหลว และมีความดันต่ำ ถังก๊าซแอลพีจีมีความหนาผนังมากกว่าถังน้ำมันเบนซินมาก ทำให้โอกาสที่จะเกิดการระเบิด จากถังเนื่องจากการชนเป็นไปได้น้อย

         2. ก๊าซแอลพีจี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้

         3. ก๊าซแอลพีจี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น

         4. ราคาค่าก๊าซถูกกว่าน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ทั้งปัจจุบันและอนาคต

         5. ช่วยป้องกันปัญหาที่เรียกว่ารถกินน้ำมันเครื่อง เพราะการสึกหรอของชิ้นส่วน เมื่อใช้ก๊าซมีน้อยกว่า

         6. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์

         7. เครื่องยนต์เดินได้ราบเรียบกว่าในรอบที่ต่ำกว่า ถ้าหากได้รับการติดตั้งอย่างถูกวิธี

 ข้อควรระวังสำหรับการใช้ LPG ในรถยนต์


         1. ต้องรู้ว่าก๊าซหุงต้มคือ ก๊าซ ที่หนักกว่าอากาศ เมื่อมีการรั่วซึมจะเกาะกลุ่มกันอยู่บนพื้นในระดับต่ำ

         2. ควรจะต้องตรวจเช็คการรั่วซึมตามจุดต่างๆ อย่างน้อยปีละสองครั้ง

         3. ก่อนที่จะมีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ในระบบก๊าซจะต้องปิดวาวล์ที่ถังก๊าซให้สนิท

         4. จะต้องไม่เติมก๊าซมากกว่าร้อยละแปดสิบของความจุของถัง

         5. ในการเติมก๊าซทุกครั้งอาจจะมีการรั่วซึมออกมานิดหน่อยตรงหัวเติมก๊าซ ให้ระวังประกายไฟในขณะนั้น

         6. การจอดรถหลังเลิกใช้งานเมื่อจอดรถในที่จอด เช่น โรงรถ ควรจะปิดวาวล์ที่ถังแกส

         7. โรงจอดรถถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยเฉพาะในระดับพื้นดินต้องโปร่งโล่ง

         8. ถ้าจะนำรถที่ใช้ก๊าซเข้าตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามปกติ ควรจะให้มีก๊าซในถังเหลือน้อยที่สุด

         9. ในรถรุ่นที่ต้องปรับตั้งลิ้นไอดีไอเสียแบบกลไก ก็จะต้องมีการปรับตั้งระยะห่างของลิ้นตามปกติอย่างเข้มงวด
 
         10. LPG จะถูกเผาไหม้ช้ากว่าน้ำมันเบนซิน การปรับตั้งไฟจุดระเบิดจึงต้องปรับตั้งล่วงหน้าเพื่อจะเผาไหม้ได้หมดจด 

         11. LPG ต้องใช้ประกายไฟจากหัวเทียนเข้มข้นกว่าที่ใช้ในน้ำมันเบนซิน จึงต้องเลือกใช้หัวเทียนให้ถูกต้องกับค่าความร้อน

         12. LPG มีค่าอ็อกเทนประมาณ 91ถึง125 รถที่จะติดตั้งก๊าซหุงต้ม ควรจะมีอัตราส่วนกำลังอัดตั้งแต่ 10:1ขึ้นไป จึงจะใช้ประสิทธิภาพของก๊าซได้อย่างคุ้มค่า
 
         อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ใช้ LPG ถ้าวิเคราะห์กันในเรื่องของความปลอดภัยแล้ว มีความปลอดภัยไม่น้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนทั้งหน้าหรือท้ายรถ วาล์วนิรภัยจะทำการปิดล็อคทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อมีก๊าซรั่วไหลออกจากถังในอัตราที่ผิดปกติจากการใช้งาน ในขณะที่ถังน้ำมันเบนซิน เมื่อถูกชนยังมีโอกาสแตกรั่วทำให้น้ำมันรั่วไหลลงพื้น

         ก่อนนำรถที่ใช้งานอยู่เป็นประจำไปติดตั้งก๊าซแอลพีจี ควรจะปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเสียก่อน รถยนต์ทุกวันนี้แม้จะเป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลที่สูง อุปกรณ์ในการติดตั้งก๊าซ และกรรมวิธีในการติดตั้งก็ได้รับการพัฒนาให้ตามทันกับการพัฒนาของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งในระบบดูดหรือในระบบฉีด ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการใช้งานอีกต่อไป การวิตกกังวลกับเรื่องการสึกหรอของเครื่องยนต์เมื่อใช้ก๊าซนั้นในเทคโนโลยีของปัจจุบัน ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิดกันอีกต่อไป


         ในอารยะประเทศทุกภูมิภาคของโลกนี้ มีรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซ LPG ที่ใช้ร่วมกับน้ำมันเบนซินมากเป็นล้านๆ คันแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรปที่เข้มงวดกวดขันในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะก๊าซ คือพลังงานที่สะอาด และประหยัด อย่ารีรอหรือกริ่งเกรงถ้าหากวันนี้ท่านคิดจะติดตั้งก๊าซ LPG ในรถยนต์ของท่าน เพราะในภาวะที่ราคาของน้ำมันมีแต่ปรับราคาขึ้นเป็นรายวัน ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้ ติดตั้งก๊าซ น่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการติดตั้งก็ตาม

E 85

1. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 คืออะไร? E85 คือ เชื้อเพลิงผสมสำหรับใช้งานรถยนต์ โดยผสมน้ำมันเบนซินมาตรฐานเข้ากับเอทานอล (E) ในสัดส่วน 15 เปอร์เซ็นต์ และ 85 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ น้ำมันชนิด นี้จึงถูกเรียกว่า “E85การผสมเอทานอลเข้ากับน้ำมันเบนซินในสัดส่วนที่น้อยลงก็จะเรียกชื่อตามสัด ส่วนของการผสม เช่น ผสม 20% เรียก E20 ผสม 10% เรียกE10 เป็นต้น

       2. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E 85 มีผลทำให้สมรรถนะของรถยนต์ลดลงหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ในทางกลับกันเอทาอลบริสุทธิ์จะมีระดับออกเทนอยู่ที่ 107113ซึ่งนับว่าสูงกว่าน้ำมันเบนซินที่มีออกเทนอยู่ที่ 91 และ 95 ดังนั้น การผสมเอทานอล ลงในน้ำมันเบนซิน ออกมาเป็นน้ำมัน E85 จะช่วยเพิ่มค่าออกเทนให้กับน้ำมันมากยิ่งขึ้นกว่าน้ำมันเบนซินธรรมดา ทั้งนี้ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มีระดับออกเทนอยู่ที่ 105เพิ่มแรงม้าให้กับรถยนต์อีก 510% เมื่อเทียบกับเบนซินธรรมดา และยังช่วยให้เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้นอีกด้วย

       3. น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มีผลให้รถยนต์เปลืองน้ำมันมากขึ้นหรือไม่ ใช่ เอทานอลบริสุทธิ์ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันเบนซินธรรมดาประมาณ 23% (เอทานอลมีปริมาณหน่วยความร้อน 84,600 บีทียูต่อแกลลอน ส่วนเบนซินบริสุทธิ์ ออกเทน 95 มี 125,000 บีทียูต่อแกลลอน) นั่นหมายถึงระยะทางที่วิ่งได้น้อยกว่า

       4. เต็ม E85 ในรถเบนซินธรรมดาได้หรือไม่ รถที่เครื่องยนต์ไม่ได้ออกแบบมาเฉพาะเพื่อใช้กับน้ำมัน E85 ไม่ควรใช้น้ำมัน E85ที่ผสมเอทานอลซึ่งก็คือ แอลกอฮอล์ และคุณสมบัติไม่เหมือนกับน้ำมันเบนซินเพราะ มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนวัสดุเช่น ยางและพลาสติก และทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิดมากกว่าเบนซินด้วย ดังนั้นรถที่จะเติมแก๊สโซฮอล์ E85 ได้จำเป็นต้องปรับโครงสร้าง ทางวิศวกรรมบางส่วน เพื่อให้รองรับน้ำมันชนิดนี้ได้
       5. รถแบบไหนที่ใช้ E85 แก๊สโซฮอล์ E85 ใช้ได้สำหรับรถยนต์ในกลุ่มที่เรียกว่า FFV หรือ Flex Fuel Vehicle คือเครื่องยนต์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมของ เอทานอล ซึ่งเติมได้ตั้งแต่น้ำมันเบนซินธรรมดา แก๊สโซฮอล์ E10 E20 ไปจนถึง E85 และยังสามารถเติมผสมกันได้อย่างไม่มีปัญหาอีกด้วย เพราะ FFV จะมีหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิคส์ (ECU) คอยวัดปริมาณโมเลกุลของออกซิเจนที่เข้าไปในเครื่องยนต์ ปรับการทำงานเหมาะสมกับน้ำมันที่เติม เพื่อให้รถยนต์ทำงานได้เต็มสมรรถนะ

       6. ทำไมประเทศไทยต้องส่งเสริม E85 การสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทน ยังคงเป็นแนวนโยบายหลักของรัฐ ไม่ว่าราคาน้ำมันจะแพงขึ้นหรือถูกลง โดยเฉพาะการสนับสนุนให้คนไทยใช้น้ำ มันแก๊สโซฮอล์นั่นยิ่งสัดส่วนของเอทานอลที่ใช้มีมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยชาติลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ กระทรวงพลังงาน เร่งเดินหน้า มาตรการส่งเสริม E85 ให้เร็วที่สุด เนื่องจาก ประเทศไทยมีผลผลิตและการผลิตเอทานอลที่มีศักยภาพมากพอที่จะสนับสนุนการใช้แก๊สโซฮอล์ E85 โดยไม่กระทบกับการบริโภคภายในประเทศ

       7. ทิศทางการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ E85 กระทรวงพลังงานได้พิจารณาที่จะขยายจาก E10 เป็น E85 มาตั้งแต่เริ่มวางนโยบายพลังงานทดแทนในปี 2547 และได้ส่งเสริม E85 บางส่วนในระยะแรกเมื่อปลายปี2549 เพื่อให้มีการใช้อย่างจริงจังในปี 2555 ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพลังงานได้กำหนดให้ E85 เป็นวาระแห่งชาติและมีนโยบายส่งเสริมการใช้ E85 อย่างครบวงจรภายใน10 ปี

       8. การสนับสนุนการใช้ E85 จากภาครัฐ กระทรวงพลังงาน ร่วมมือกับภาครัฐหลายหน่วยงานเร่งผลักดันนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ FFV ในประเทศไทย ดังนี้ ลดอาการนำเข้าจาก 80% เหลือเพียง 60% สำหรับรถยนต์ FFV นำเข้าที่ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี. และ 2,500 ซีซี. จำนวน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV 3% สำหรับรถยนต์ FFV นำเข้าที่ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี. และ 2,500 ซีซี. จำนวน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV 3% สำหรับรถยนต์ FFV ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 นอกจากนี้ ได้กำหนด Road Map การส่งเสริมการใช้ E85 อาทิ มาตรการภาษีและอากรเพื่อการนำเข้ารถยนต์ในระยะสั้นของกรมศุลกากร การออกมาตรฐานคุณ ภาพน้ำมัน E85 ของกรมธุรกิจพลังงาน การเพิ่มผลผลิตต่อไร่อ้อยและมันสำปะหลังและการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกใน พื้นที่รกร้างว่างเปล่า พื้นที่ราชพัสดุของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กรมธนารักษ์ เป็นต้น

       9. ความพร้อมเดินหน้า วัตถุดิบ ประเทศไทยมีวัตถุดิบทางการเกษตร (อ้อย, กากน้ำตาล, มันสำปะหลัง) มากพอที่จะรองรับการใช้ E85 ได้ทั้งประเทศ โดยไม่กระทบกับการบริโภคภายใน ประเทศ ปัจจุบันกำลังการผลิตเอทานอลอยู่ที่ 1.5 ล้านลิตรต่อวัน ในขณะที่การใช้เอทานอลอยู่ที่ 1.1 ล้านลิตรต่อวัน และภายในปี 2552 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก1.5 ล้านลิตรต่อวัน รวมกำลังการผลิตเอทานอลในปี 2552 ประมาณ 3 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งสามารถรองรับ E85 ในระยะแรกอย่างไม่มีปัญหา สถานีบริการ ขณะนี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล์E85 ที่เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว 3 แห่ง และมีแผนจะขยายเป็น 15 แห่ง ตามความต้องการใช้ของ E85 ส่วนทางด้าน บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ใช้แก๊สโซฮอล์ โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการ E85 เป็น 15 สาขา ในปี 2552 ตามที่กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือ รถยนต์ ประเทศไทยมีการนำเข้ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง E85 หรือ FFV มาใช้งานแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งกระทรวงพลังงานให้การส่งเสริมด้วยการลดอัตราภาษีนำเข้ารถ ยนต์FFV สำเร็จรูปจากต่างประเทศ โดยล่าสุด บริษัทวอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีการนำเข้า และเริ่มการผลิตรถยนต์ FFV ในประเทศไทยล็อตแรกแล้วจำนวน150 คัน นอกจากนี้ค่ายรถยนต์ยุโรปและอเมริกาหลายค่ายตอบรับการส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซ ฮอล์ E85 ของภาครัฐ อาทิ ฟอร์ด, เจนเนอรัล มอเตอร์ส, เชฟโรเลต (ประเทศ ไทย) เนื่องจากมีความพร้อมในเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 แล้วเห็นด้วยในการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ E85 เพราะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในอนาคต


       10. ประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้ E85 จุดเริ่มต้นของการผลักดันนโยบาย E85 กระทรวงพลังงานได้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ จากการกำหนด Road Map การส่งเสริม การใช้ E85 ในปี 2551 2561 ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวมเป็นเงิน447,377 ล้านบาท สร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานของประเทศและลดการ ใช้เบนซินได้มูลค่า 386,720 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นการปรับโครงสร้างการผลิตพืชเกษตรไปสู่พืชพลังงานที่มีมูลค่า เพิ่มทางเศรษฐกิจสูงสร้างเสถียรภาพราคาพืชผล เกษตร สร้าง Multiplier Effect ด้านเกษตรอุตสาหกรรมและบริการมูลค่า 60,657ล้านบาทในปี 2561 และยังเป็นการช่วยลดมลพิษและภาวะโลกร้อนได้ถึง 27.8 ล้าน ตัน ซึ่งผลประโยชน์นี้จะตกไปถึงประชาชนทุกระดับอย่างแท้จริง